วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สีของพืชผัก-ผลไม้ ให้คุณค่าต่างกันอย่างไร
ทราบไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว โดยมาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายได้ดังนี้ค่ะ
สารสีแดง มีสาร Cycopene เป็นตัวพิวเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิด
สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเม็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
สารสีเหลือง พิกเม้นต์ Lutein คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น
สารสีเขียว พิกเม้นต์คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll ) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟีลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย
สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน ( Anthocyanin ) เป็นต้นให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย
วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Vespa Club
มันเปลี่ยนมือ…ผมได้รับคำตอบจาก “เป๊บซี่” เจ้าของ “แฮนด์แป๊บ A.C.M.A.” หลังเจอกันในงานทัวร์ครั้งก่อน…แต่…ภายใต้เจ้าของใหม่ เรายังคงได้รับความอนุเคราะห์เข้าพูดคุยพอเป็นวิทยาทาน หลังสานสัมพันธ์ผ่านเพื่อนเจ้าถิ่นที่การันตีสมทบ “พี่วิน” เจ้าของโปรดักต์แพร่ลัทธิคันนี้ก็ยินยอมตามนั้น ภาพระบบดิจิตอลจึงถูกเก็บลงหน่วยความจำขนาด 256 MB ก่อนหันกลับมาเปิดเว็บอัพเดตข้อมูลกันจน…ตาลาย!!!
หลังเปิดตัวด้วยรถอเนกประสงค์หน้าตาแปลกประหลาดครั้งแรกในปี 1946 และลองผิดลองถูกอยู่สักพัก ก่อนเริ่มจะจับทางได้ด้วย เครื่องยนต์แบบ Single ขนาด 98 ซี.ซี. สูบนอน 2 จังหวะ เปลี่ยนเกียร์ที่มือ ระบายความร้อนด้วยพัดลม…1948 Piaggio เริ่มประสบความสำเร็จ และมองตลาดนอกบ้านเกิด เครื่องยนต์เดิมถูกอัพเกรดเป็น 125 ซี.ซี. ซึ่งการรุกตลาดนอกประเทศนั้น Piaggio ได้สานสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ในหลายซีกโลก ชื่อ Vespa จึงถูกผลิตภายใต้ข้อสัญญาอย่างเป็นทางการ ซึ่งยังรวมถึง “แบนเนอร์” ที่ใช้เบิกทางในแต่ละภูมิภาคอีกด้วย…Vespa ขายในอเมริกาในชื่อ ALLSTATE…ขายในอังกฤษในชื่อของ DOUGLAS…ขายในเยอรมนีในชื่อ MESSERSCHMITT และในฝรั่งเศสชื่อของ A.C.M.A. รับอานิสงส์ผลิตภายใต้ข้อตกลงตั้งแต่ปี 1951-1962
A.C.M.A.…รับข้อเสนอจาก Piaggio เพื่อผลิตรถสกู๊ตเตอร์โดยหวังเจาะตลาดในปารีส ซึ่งมีที่ตั้งโรงงานอยู่ที่ Fourchmbault ใกล้ๆ กับเมือง Dijon ใน Paris…รถสกู๊ตเตอร์โปรดักต์จากอิตาลีถูกนำมาปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอีกเล็กน้อยหวังให้ตรงใจแฟนเมือง “น้ำหอม” ที่รักและหลงใหลรถที่มีการออกแบบเหมือนงานศิลปะ โดยเฉพาะในส่วนของไฟหน้าที่ถูกย้ายขึ้นมาติดตั้งบนแฮนเดิ้ลบาร์ ส่วนไฟท้ายแบบเหลี่ยมเล็กเรียบๆ ถูกแทนที่ โลโก้ตัว “P” ที่ติดตั้งบนบังลมนั้นใช้ตัวอักษร “A.C.M.A. Paris” แทนอักษร “Genova” แบบดั้งเดิม สำหรับโมเดลแรกเริ่ม 1951-1952 นั้นยังคงเครื่องยนต์พอร์ตเดียวขนาด 123.67 ซี.ซี. ที่ปรับสมรรถนะภายในอีกเล็กน้อย โดยบอดี้ภายนอกนั้นโดดเด่นสะดุดตาตรงฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์ ที่ถูกหันเว้าตรงบริเวณเหนือพัดลมระบายความร้อน และสามารถยกมันขึ้นสำหรับการเซอร์วิสได้อย่างง่ายดาย…สีบรอนซ์เงิน (Silver) ถูกผลิตสำหรับโมเดลปี 1951 ส่วน เขียวเมทาลิค (Dark Metallic Green) ถูกเลือกใช้สำหรับโมเดลปี 1952 แต่ยังคงขนาดของล้อเหล็ก หน้า/ หลัง ขนาด 8 นิ้ว สำหรับโมเดลปี 1951-1952 นั้นตรงตำแหน่งเหนือกะโหลกไฟมีเฉพาะแผ่นปิดรูปสี่เหลี่ยมฝังโลโก้ Vespa ปิดทับตรงตำแหน่งเรือนไมล์ จุดแตกต่างปี 1953 ที่เริ่มฝังเรือนไมล์ทรงสี่เหลี่ยมแทนตำแหน่งที่ออกแบบเอาไว้ล่วงหน้า และเพราะเป็นรถที่ ซี.ซี. ต่ำและเน้นใช้งานที่ไม่สมบุกสมบัน อัตราส่วนของกำลังอัดเครื่องยนต์จึงอยู่ที่ 6.3:1 ซึ่งได้พลังงานเพียง 4 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/ นาที ที่ส่งกำลังขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์ 3 สปีด ผ่านเฟืองขนาด 22/69 ฟัน และใช้คาร์บูเรเตอร์ตัวจิ๋วขนาด 17 มม. จากแบรนด์ Guertner ที่ถือเป็นรุ่นสุดท้าย ก่อนในปี 1953 จะปรับเปลี่ยนหลังได้พันธมิตรใหม่นาม Dell”Orto และขยายมันให้โตอีกเล็กน้อยเป็น 18 มม.
วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553
นมถั่วเหลือง ดีกว่า นมวัว จริงเหรอ?
นมถั่วเหลือง ดีกว่า นมวัว จริงเหรอ?
"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"
คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย
ใน เรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของ โปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น
พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า
เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว
หากเป็น นมถั่วเหลืองธรรมดา ที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้นๆ
วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553
"เสาวรส"...ผลไม้มากคุณค่า
เสาวรส เป็นผลไม้เขตร้อน ให้คุณประโยชน์ทางโภชนาการสูง มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตาปรับสมดุลในร่างกาย ให้สดชื่นนอกจากนี้ยังช่วยสมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางได้ดีอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ช่อลัดดา เที่ยงพุก นักวิจัยฝ่ายกระบวนการผลิตและแปรรูป สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แนะนำว่า เสาวรส หรือ กระทกรก กระทกรกฝรั่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Passifora spp. พบครั้งแรกที่ประเทศเม็กซิโก และนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2498 มี 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์สีม่วง เมื่อผลสุกผิวมีสีม่วงเข้ม มีรสชาติหวาน กลิ่นหอม นิยมรับประทานสด , พันธุ์สีเหลือง เมื่อผลสุกผิวมีสีเหลืองเป็นมัน เปลือกหนา มีรสเปรี้ยว เหมาะสำหรับการแปรรูปเป็นเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ชนิดต่างๆและ "พันธุ์ลูกผสมสีหลืองและสีม่วง"
ช่อลัดดา นักวิจัย มก. กล่าวถึงคุณประโยชน์ที่ได้จากเสาวรส มีคุณค่าทั้งวิตามินเอ และวินตามินซี "คุณประโยชน์ของเสาวรสที่นำมาทำเป็นน้ำเสาวรสมีทั้งวิตามินเอ บำรุงสายตาช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิว มีวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค นำไปปรุงแต่งกินประกอบอาหาร ขนมต่างๆ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ใช้ทาหน้าก่อนนอน ลดรอยเหี่ยวย่น และช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับร่างกาย ลดอาการวิงเวียนคลื่นไส้ บรรเทาอาการจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ฟื้นฟูตับและไตที่อ่อนแอ กำจัดสารพิษในเลือด ลดไขมันในเลือด
ลักษณะของเสาวรสจะมี
ยอดอ่อน ที่สามารถรับประทานได้ มีรสชาติขมเล็กน้อย
เนื้อหุ้มเมล็ด ในผล รับประทานสดได้ มีกากใยอาหาร
ใบสด ใช้พอกแก้หิด
ดอก ใช้ขับเสมหะ แก้ไอ
ต้นสด ห้ามนำมารับประทานเพราะอาจถึงตายได้
เปลือก เป็นอาหารสัตว์ และนำมาทำปุ๋ยหมักได้ ส่วน
เมล็ด มีสารยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
นอกจากนี้ในประเทศอิตาลีได้ผลิตน้ำมันจากเมล็ดของเสาวรส และนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กันแดด ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดการอักเสบของสิว ช่วยลดจุดด่างดำ เนื่องจากมีวิตามินซีสูงและวิตามินเอช่วยสมานผิวรักษาเยื่อบุผิวหนัง ซึ่งในทางอโรมาจัดว่า น้ำเสาวรสเป็นน้ำมันที่ให้ความผ่อนคลายในการนวดได้ดี และนิยมใช้นวดบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดีอีกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)